วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

   สนธิสัญญาริโอ
            หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม (อังกฤษTreaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam) หรือบนปกสมุดไทย ใช้ชื่อว่า หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง หรือที่มักเรียกกันทั่วไปว่า สนธิสัญญาเบาว์ริง (อังกฤษBowring Treaty)เป็นสนธิสัญญาที่ราชอาณาจักรสยามทำกับสหราชอาณาจักร ลงนามเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 โดยเซอร์จอห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย เข้ามาทำสนธิสัญญา ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดการค้าเสรีกับต่างประเทศในสยาม มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ โดยการสร้างระบบการนำเข้าและส่งออกใหม่ เพิ่มเติมจากสนธิสัญญาเบอร์นี สนธิสัญญาฉบับก่อนหน้าซึ่งได้รับการลงนามระหว่างสยามและสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2369
             สนธิสัญญาดังกล่าวอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าเสรีในกรุงเทพมหานครเนื่องจากในอดีตการค้าของชาวตะวันตกได้รับการจัดเก็บภาษีอย่างหนัก สนธิสัญญาดังกล่าวยังอนุญาตให้จัดตั้งกงสุลอังกฤษในกรุงเทพมหานครและรับประกันสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ตลอดจนอนุญาตให้ชาวอังกฤษสามารถถือครองที่ดินในสยามได้
             สรุปสาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริง มีดังนี้
  1. คนในบังคับอังกฤษจะอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของกงสุลอังกฤษ นับเป็นครั้งแรกที่สยามมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประชากรต่างด้าว
  2. คนในบังคับอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าขายอย่างเสรีในเมืองท่าทุกแห่งของสยาม และสามารถพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นการถาวรได้ ภายในอาณาเขตสี่ไมล์ (สองร้อยเส้น) แต่ไม่เกินกำลังเรือแจวเดินทางในยี่สิบสี่ชั่วโมงจากกำแพงพระนคร คนในบังคับอังกฤษสามารถซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณดังกล่าวได้ คนในบังคับอังกฤษยังได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างเสรีในสยามโดยมีหนังสือที่ได้รับการรับรองจากกงสุล
  3. ยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือและกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจน
    1. อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้ที่ร้อยละ 3 ยกเว้นฝิ่นที่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษี ส่วนเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อค้าไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
    2. สินค้าส่งออกให้มีการเก็บภาษีชั้นเดียว โดยเลือกว่าจะเก็บภาษีชั้นใน (จังกอบ ภาษีป่า ภาษีปากเรือ) หรือภาษีส่งออก
  4. พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อขายโดยตรงได้กับเอกชนสยามโดยไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งขัดขวาง
  5. รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ในการห้ามส่งออกข้าว เกลือและปลา เมื่อสินค้าดังกล่าวมีทีท่าว่าจะขาดแคลนในประเทศ
สนธิสัญญาโรม  
สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศสอิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009
ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาโตเกียว
               6 มกราคม 2484 กองทัพไทยเคลื่อนกำลังอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งทางบกและอากาศ โจมตีที่มั่นทางทหารของฝรั่งเศสหลายแห่งตามบริเวณชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา นับเป็นการระเบิดสงครามอินโดจีนที่สำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ไทยเป็นประเทศเอเชียประเทศที่สองต่อจากญี่ปุ่นที่เอาชนะสงครามฝรั่งตาน้ำข้าวได้ แต่เป็นฝันตื่นหนึ่งของคนไทยที่ได้ครอบครองเวียงจันทน์ จำปาสักและศรีโสภณได้เป็นครั้งสุดท้าย ฝันตื่นนั้นอาจยังลุกโชนอยู่ในใจของกลุ่มชาตินิยมทวงคืนเขาพระวิหาร แต่จะไม่มีวันอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะไทยยอมสละฝันนั้นไปตลอดกาลแล้ว ยอมสละการครอบครองดินแดน เพื่อนำประเทศไปผนวกกับสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านโลกด้วยการเป็นสมาชิกรัฐเอกราชที่มีเกียรติ

              ฝรั่งเศสในเวลานั้นไม่ใช่ชาติเอกราชที่เข้มแข็ง เพราะฮิตเลอร์ยึดปารีสตั้งแต่มิถุนายน 2483 และแต่งตั้งรัฐบาลจอมพลเปแตงให้เป็นหุ่นเชิดที่วิชี่ ส่วนอาณานิคมโพ้นทะเลก็ดูแลเอาตามมีตามเกิด สยามเวลานั้นทราบเรื่องนี้ดี กอปรกับการเป็นมิตรกับญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาไมตรี ทำให้เราเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะล้างอายฝรั่งชาตินี้ที่เคยเอาเรือมาหยามถึงหน้าบ้านแล้วยึดดินแดนไทยไป ในเมื่อขอดินแดนลาวเขมรคืนแล้วฝรั่งเศสไม่ให้ทั้งยังส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่นครพนมอีก ก็ถึงเวลาต้องเปิดศึกใหญ่ แน่นอนที่ทัพอาณานิคมที่อ่อนแอจะสู้อะไรกองทัพมณฑลบูรพาที่มีกำลังพลหกหมื่นและเครื่องบินรบสัญชาติญี่ปุ่นนับร้อยของไทย ในเวลาไม่ถึงเดือนไทยยึดเวียงจันทน์ จำปาสัก สะหวันนะเขต ไซยะบุลี หลวงพระบาง พระตะบองและศรีโสภณ เอาไว้ได้ ทหารไทยเวลานั้นหมายจะบุกถึงไซ่ง่อน เมืองหลวงอินโดจีนเลยด้วยซ้ำ

              แต่ญี่ปุ่นเกรงว่าหากไทยยึดอินโดจีนมากไปกว่านี้ จะกระเทือนแผนการของตนที่อยากครอบครองอินโดจีนเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุง จึงเข้ามาไกล่เกลี่ยจนนำไปสู่การหยุดยิงปลายมกราคม และต่อมาเมื่อ 9 พฤษภาคม 2484 ตัวแทนไทยและฝรั่งเศสก็ไปลงนามที่ญี่ปุ่น ในข้อตกลงอนุสัญญาโตเกียว ฝ่ายไทยได้ดินแดนคืนมากมาย รวมทั้งเขาพระวิหารด้วย แต่ญี่ปุ่นได้ประโยชน์กว่าด้วยการมัดใจ จอมพล ป. และทำให้ไทยต้องสนับสนุนกองทัพพระมหาจักรพรรดิตลอดสงครามมหาเอเชียบูรพา

              แต่ทุกอย่างเป็นโมฆะเมื่อสิ้นสุดสงครามปี 2491 ฝรั่งเศสกลับมายิ่งใหญ่โดยไม่รับรองว่ารัฐบาลเปแตง เคยตกลงอะไรกับญี่ปุ่นไว้ เพราะถือว่ารัฐบาลที่แท้ก็คือรัฐบาลที่เคยพลัดถิ่นของ นายพลเดอโกล เท่านั้น และหากไทยฉลาดก็ต้องไม่รับรองว่าเคยทำอะไรกับญี่ปุ่นไว้ ไม่งั้นก็จมไปพร้อมกับ โตโจ ก็แล้วกัน ด้วยเหตุนี้การทูตไทยยุคนั้นจึงวิ่งกันตีนพลิก ปลิ้นไทยหลุดบ่วงแพ้สงครามมาคล้องมงกุฎผู้ชนะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ไทยต้องยอมเสียข้าวเป็นล้านกระสอบให้อังกฤษ ต้องยอมคืนดินแดนที่ยึดไว้ให้ฝรั่งเศส จนพวกนี้พอใจไม่คัดค้านให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในปีถัดมา ดังนั้นจึงเชื่อแน่ว่า ไทยจะไม่มีวันกลับไปยึดอนุสัญญาโตเกียวอีกอย่างเด็ดขาด
สนธิสัญญาปารีส
             ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในกรุงปารีส เห็นชอบร่างข้อตกลงลดโลกร้อนฉบับสมบูรณ์แล้ว ลดการใช้ถ่านหิน-น้ำมันดิบ-ก๊าซให้หันมาใช้พลังงานจากแสงแดดและพลังงานลมทดแทน มอบเงิน 100,000 ล้านดอลลาร์ให้ประเทศยากจนช่วยทำให้โลกเป็นสีเขียวขึ้น
เมื่อวันที่ 12 ันวาคม 2558 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ ซีโอพี 21 (COP21) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีมติเห็นชอบร่างข้อตกลงว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับสมบูรณ์แล้ว หลังการประชุมต่อเนื่องมานานถึง 2 สัปดาห์
ที่ประชุมบรรลุร่างข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ที่เรียกว่า สนธิสัญญาปารีส เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม ก่อนที่ผู้แทนส่วนใหญ่จาก 196 ประเทศในที่ประชุมจะลงมติเห็นชอบในช่วงบ่าย ข้อตกลงปารีส ตั้งเป้าหมายจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเฉลี่ยไม่ให้เกิน องศาเซลเซียสจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและจะจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสหากเป็นไปได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gases) ให้ได้ภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้และจะมีการทบทวนความคืบหน้าทุกๆ 5 ปี
แม้ที่ประชุมจะเห็นชอบก็ตามแต่ละประเทศจะต้องนำไปให้รัฐสภาในประเทศของตนเห็นชอบกับสนธิสัญญาปารีส จากนั้นจึงให้สัตยาบัน (รับรอง) ต้องมีอย่างน้อย 55 ประเทศให้สัตยาบัน และประเทศเหล่านั้นต้องมีอัตราปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันคิดเป็น 55% ของโลกขึ้นไป ข้อตกลงจึงจะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ หากประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดอย่างเช่นจีนและสหรัฐฯ มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 24% และ 14% ของโลกตามลำดับ ไม่ร่วมลงนาม การบังคับใช้สนธิสัญญาปารีสก็จะกลายเป็นเรื่องยาก
ทางด้านกลุ่มนักเคลื่อนไหวขององค์กร 'โกลบอล จัสติซ นาวของอังกฤษ ออกมาโจมตีสนธิสัญญานี้ว่า แทบไม่มีข้อผูกมัดเพื่อรับประกันว่าสภาพอากาศจะมีความปลอยภัยสำหรับคนรุ่นต่อๆไป
สนธิสัญญาปารีสมีข้อผูกมัดทางกฎหมายบางส่วนเช่น การส่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการทบทวนเป้าหมายดังกล่าวเป็นประจำ แต่ไม่กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละประเทศจะต้องทำให้ได้
ทางด้านนายโลรองท์ ฟาเบียส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสกล่าวว่าสนธิสัญญาปารีสนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป ด้วยการจำกัดภาวะโลกร้อนที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศเช่นการเพิ่มระดับของน้ำทะเล,ความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นอย่างเลวร้าย,เกิดน้ำท่วมฉับพลันและพายุกระหน่ำโลก
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวตอบรับด้วยความยินดีกับสนธิสัญญานี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของโลกในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอากาศ สนธิสัญญานี้เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของพวกเราในการที่จะรักษาดาวพระเคราะห์ที่เราอยู่อาศัย เรามารวมตัวกันทั่วโลกและมีข้อตกลงที่โลกต้องการ และเราก็ได้พบแล้ว
อย่างไรก็ตามมีข้อวิจารณ์ว่าความพยายามจำกัดภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือเป้าหมายที่ชัดเจน  เป็นเพียงการสร้างระบบขึ้นมาเพื่อให้แต่ละประเทศร่วมมือและสมัครใจเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง แต่ก็จะมีการมอบเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับประเทศยากจนเพื่อช่วยทำให้ประเทศของตนกลายเป็นเศรษฐกิจสีเขียวมากขึ้น
ความพยายามขององค์การสหประชาชาติที่จะลดภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงของอากาศมีมาตั้งแต่ปี 1992  จนกระทั่งปี 1997 มีการลงนามร่วมกันในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจำจำนวนมากขึ้นสู่ชั้นผิวของบรรยากาศ โดยเรียกว่าสนธิสัญญาขั้นต้นเกียวโต (the Kyoto Protocol) แต่หลายประเทศไม่เห็นด้วย
ในปี 2009 มีการประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน ผลสรุปก็คือเกิดความโกลาหลและความผิดหวังของฝ่ายต่างๆที่มาร่วมประชุม
จนกระทั่งการประชุมที่กรุงปารีสในปี 2015 สามารถบรรลุข้อตกลงได้แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการบังคับ
สรุปจากสนธิสัญญา
1.จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเฉลี่ยไม่ให้เกิน องศาเซลเซียสจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและจะจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสหากเป็นไปได้
2.ลดก๊าซเรือนกระจกทันทีทันใดเท่าที่จะทำได้   
3.จำกัดการใช้ถ่านหิน,น้ำมันดิบและก๊าซเป็นพลังงาน
4.น้ำมันจากถ่านหิน (Fossil fuels)จะต้องใช้ทดแทนโดยพลังงานจากแสงแดดและพลังงานจากลม  

5.ประเทศที่กำลังพัฒนาจะได้รับเงินช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 100,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป 

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ประวัติ เอ็มมานูแอล มาครง

          เปิดประวัติ ‘มาครง’ ผู้นำหล่อคนใหม่แห่งเมืองน้ำหอม

              หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรอบแรกสิ้นสุดลง ผลของการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ออกมาปรากฏว่า ผู้ลงสมัครทั้งสองคนได้แก่นายเอ็มมานูเอล มาครง ผู้สมัครอิสระสายกลาง และนางมารีน ลูแปน หัวหน้าพรรคขวาจัด ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งที่น่าแปลกคือในครั้งนี้ผู้สมัครทั้งสองคนไม่ได้มาจากพรรคการเมืองใหญ่เป็นครั้งแรก
ดูเหมือนจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เมืองน้ำหอมจะได้ผู้นำคนใหม่คือ นายเอ็มมานูเอล มาครง วัย 39 ปีกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสเปิดเผยว่า นายมาครงได้รับคะแนนโหวต 66.06% โดยคะแนนห่างจากมารีน เลอ แปน ไปกว่า 30%  ทั้งนี้มาครงผู้มีใบหน้าหล่อเหลา และยังอายุน้อย รวมถึงขึ้นแท่นเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่สมัยนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ 3 และแน่นอนว่าบริจิตต์ โทรนเญอซ์ ภริยาวัย 64 ของเขา ก็จะได้ขึ้นมาเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ไปโดย. ปริยาย
            เอ็มมานูเอล มาครง เป็นนักการเมืองหน้าไฟแรง เคยทำงานด้านการธนาคาร และเป็นพนักงานรัฐบาล กระทั่งได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจในรัฐบาลของนายฟรองซัวส์ ออลลองด์ ประธานาธิบดีพรรคสังคมนิยม ก่อนจะลาออกและก่อตั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง En Marche! หรือ Let’s Move ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงปัญหาเก่าในประเทศที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ที่ฝังรากลึกมานานกว่า 30 ปี
นับได้ว่าเป็นความท้าทายสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่แห่งฝรั่งเศสอย่างมาก เนื่องจากประเทศที่ได้รับความนิยมจากการท่องเที่ยว ที่มีความสวยงาม และมีชื่อเสียง กำลังตกเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุความไม่สงบ เห็นได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งมาครงมีฐานความนิยมจากผู้มีการศึกษา ชนชั้นกลาง และคนหนุ่มสาว เนื่องจากเขาสนับสนุนสหภาพยุโรป และมีแนวคิดชาตินิยมน้อยกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ รวมถึงโอบอุ้มผู้อพยพและคนต่างเชื้อชาติศาสนา ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในประเทศ เอื้อต่อนักธุรกิจ ไม่สังคมนิยมจัดเหมือนรัฐบาลพรรคสังคมนิยมของนายออลลองด์ ซึ่งเป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ

                
                       ส่วนด้านชีวิตส่วนตัว มาครง เคยความเป็นศิลปินเนื่องจากเคยเป็นนักเปียโน และที่น่าทึ่งคือชีวิตรักของเขาที่ไม่ธรรมดา เขาแต่งงานตั้งแต่อายุ 17  ครูสอนการแสดงโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่ม่ายลูกติด 3 ที่แก่กว่ามาครงถึง 24 ปี มาครงได้ตกหลุมรัก บริจิตต์ ครูสาวโรงเรียนมัธยมปลายที่เมืองเอเมียงส์ มขณะเป็นวัยรุ่น อายุได้เพียง 16 ปี และได้ประกาศว่าเขาจะต้องแต่งงานกับครูบริจิตต์ แม้ในขณะนั้นจะถูกครอบครัวคัดค้านก็ตาม
                       ส่วนนโยบายของมาครง ในการการฝึกงานและสร้างงานใหม่ ๆ โดยใช้งบประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท และไม่ต้องการพึ่งพาพลังงานถ่านหิน แต่มุ่งหวังใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมทั้งด้านการปรับโครงสร้างระบบสาธารณูปโภค ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ให้ทันสมัย และลดการเก็บภาษีนิติบุคคล รวมถึงเจรจาให้นายจ้างเจรจาเรื่องการทำงานสัปดาห์ละ 35 ชั่วโมงลดอัตราการว่างงานให้อยู่ที่ 7% และยังมีนโยบายเกี่ยวกับภาคการศึกษา ระบุว่าห้ามนักเรียนอายุน้อยกว่า 15 ปีใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน
                        อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลังจากนี้อีก 1 ประการที่นายมาครงต้องเจอ คือการขอแรงสนับสนุนจากรัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรเนื่องจากเขาเป็นผู้ที่ยังมีอายุน้อย และเป็นผู้สมัครอิสระ จึงเป็นการยากอยู่ไม่น้อยที่เขาจะคุมสภาได้อย่างราบรื่น